Tag Archive for: Carbon Footprint

CFO คืออะไร? และทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญ?

CFO คืออะไร? และทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญ?

CFO คืออะไร?

 

1. คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) คืออะไร?

CFO คืออะไร? คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมขององค์กรทั้งหมดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยคำนวณออกมาในหน่วย คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) เพื่อติดตาม วิเคราะห์ และกำหนดแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนขององค์กร

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านมาตรฐาน CFO ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ISO 14064-1 และ GHG Protocol เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและสามารถเปรียบเทียบได้ในระดับสากล


2. ประเภทของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scopes of GHG Emissions)

การคำนวณ CFO แบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ขอบเขตหลัก ได้แก่:

Scope 1: การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น:

  • การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานหรือยานพาหนะขององค์กร
  • การรั่วไหลของสารทำความเย็น
  • การปล่อยก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสีย

Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions from Purchased Energy)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตพลังงานที่องค์กรซื้อมาใช้ เช่น:

  • ไฟฟ้าที่ใช้ภายในองค์กร
  • ไอน้ำ หรือพลังงานความร้อนที่ซื้อจากแหล่งภายนอก

Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมภายนอกที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น:

  • การขนส่งสินค้าและการเดินทางของพนักงาน
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรโดยลูกค้า
  • การจัดการของเสีย
  • การให้เช่าพื้นที่ขององค์กร

3. วิธีการคำนวณ CFO 

3.1 กำหนดขอบเขตขององค์กร

  • Operational Control: คำนวณเฉพาะการปล่อยที่องค์กรมีอำนาจควบคุมโดยตรง
  • Equity Share: คำนวณการปล่อยก๊าซตามสัดส่วนการถือหุ้นขององค์กรในกิจการนั้น ๆ
  • Financial Control: คำนวณตามกิจกรรมที่องค์กรมีการควบคุมด้านงบประมาณและการลงทุน

3.2 กำหนดขอบเขตของการดำเนินงาน

  • Scope 1 & 2
  • Scope 1, 2 & 3

3.3 วิเคราะห์แหล่งปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก

  • แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น น้ำมันดีเซลในเครื่องตัดหญ้า ก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสีย

3.4 เก็บข้อมูลกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • แต่งตั้งผู้รับผิดชอบข้อมูล

3.5 คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละ Scope

  • ใช้สูตร CFO = ∑ (Activity Data × Emission Factor)

3.6 ทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

  • Excel File
  • Word File
  • Power point File

3.7 ทวนสอบกับหน่วยงานทวนสอบ  (Verifier)

  • ทวนสอบกับหน่วยงานภายนอกซึ่งขึ้นทะเบียนกับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) สามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานทวนสอบที่ขึ้นทะเบียนแล้วได้บนเว็บไซต์ของ TGO

4. ผลกระทบของ CFO ต่อองค์กรในประเทศไทย

📢 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่:

  • 🏭 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต – ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในทุก Scope เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงด้านกฎหมายในอนาคต
  • 🚚 ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ – ต้องใช้พลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • 🏢 ภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง – ควรใช้วัสดุที่มี CFP ต่ำ และปรับปรุงการใช้พลังงานในอาคารเพื่อสนับสนุน Green Building
  • 🌾 ภาคเกษตรและอาหาร – ต้องปรับวิธีการเพาะปลูกและการจัดการของเสียเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

5. สรุป: ทำไมองค์กรต้องเร่งคำนวณ CFO?

📌 CFO ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายการลดคาร์บอนและดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ

📌 การลดการปล่อยคาร์บอนสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ

📌 ธุรกิจที่มี CFO และแผนลดคาร์บอนจะสามารถแข่งขันในตลาดโลก และเตรียมรับมือกฎระเบียบด้านคาร์บอน

💚 องค์กรที่ดำเนินการคำนวณ CFO และมีมาตรการลดการปล่อยคาร์บอน จะเป็นผู้นำในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และมีความได้เปรียบทางธุรกิจในอนาคต! 🚀♻️

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

CCS & CCUS

CCS & CCUS: เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน ทางรอดอุตสาหกรรมสู่ Net Zero

CCS & CCUS

 

📢 CCS และ CCUS: เทคโนโลยีแห่งอนาคตเพื่ออุตสาหกรรมสีเขียว

เมื่อการลดการปล่อยคาร์บอนกลายเป็นวาระระดับโลก อุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมหนักต้องปรับตัวเพื่อรองรับนโยบาย Net Zero หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ได้รับความสนใจคือ CCS (Carbon Capture and Storage) และ CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ซึ่งเป็นระบบดักจับคาร์บอนเพื่อนำไป กักเก็บถาวร หรือ นำมาใช้ประโยชน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


📌 CCS กับ CCUS ต่างกันอย่างไร?

CCS (Carbon Capture and Storage)

✅ ดักจับ CO₂ และนำไปกักเก็บในแหล่งใต้ดิน เช่น ชั้นหินหรือแหล่งก๊าซธรรมชาติที่หมดแล้ว
✅ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ปล่อย CO₂ จำนวนมาก เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน, อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และเหล็ก

📢 ข้อดีของ CCS ✅ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวได้จริง
✅ ช่วยให้อุตสาหกรรมฟอสซิลยังคงดำเนินการต่อได้ภายใต้กรอบ Net Zero

📢 ข้อจำกัดของ CCS ❌ ต้นทุนการลงทุนสูง
❌ ต้องการพื้นที่กักเก็บที่ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงของ CO₂ รั่วไหล

CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage)

✅ ดักจับ CO₂ และนำมาใช้ประโยชน์ก่อนกักเก็บ
✅ สามารถใช้ CO₂ ที่ดักจับได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น:

  • การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์
  • อุตสาหกรรมเคมีและวัสดุก่อสร้าง
  • Enhanced Oil Recovery (EOR) การเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดน้ำมัน

📢 ข้อดีของ CCUS ✅ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ CO₂ โดยไม่ปล่อยทิ้ง
✅ ลดภาระต้นทุนในการดำเนินงานของ CCS

📢 ข้อจำกัดของ CCUS ❌ มีข้อจำกัดในกระบวนการที่สามารถนำ CO₂ ไปใช้ใหม่
❌ อุตสาหกรรมบางประเภทอาจยังไม่สามารถใช้ CO₂ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


🌍 โครงการระดับโลกที่น่าจับตามอง

1️⃣ Northern Lights (นอร์เวย์) – โครงการ CCS แห่งแรกของยุโรป รองรับ CO₂ ได้มากถึง 1.5 ล้านตัน/ปี
2️⃣ Gorgon CCS (ออสเตรเลีย) – โครงการของ Chevron ที่กักเก็บ CO₂ ได้กว่า 4 ล้านตัน/ปี


🚀 อนาคตของ CCS และ CCUS: โอกาสหรือแค่ตัวช่วยชั่วคราว?

📢 แม้ว่า CCS และ CCUS จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการลด CO₂ แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ต้นทุนและประสิทธิภาพในระยะยาว

แนวโน้มในอนาคต

  • หลายประเทศเริ่มให้ เงินอุดหนุนสูง เช่น สหรัฐฯ สนับสนุนสูงสุด 85 ดอลลาร์ต่อตัน CO₂ ที่กักเก็บได้
  • ธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีลงทุนใน CCUS เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระภาษีคาร์บอน

⚠️ ประเด็นที่ยังเป็นข้อกังวล

  • หากไม่มีการกักเก็บที่ปลอดภัยพอ อาจเกิดปัญหา CO₂ รั่วไหล

🔎 สรุป: CCS & CCUS จำเป็นหรือไม่?

📌 CCS เป็นเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอนที่มีศักยภาพสูง → ลดปริมาณ CO₂ ได้จริง แต่ต้องการพื้นที่กักเก็บที่ปลอดภัย
📌 CCUS เป็นแนวทางที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ CO₂ → เหมาะกับอุตสาหกรรมที่สามารถนำคาร์บอนกลับมาใช้ใหม่
📌 ทั้งสองเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญสู่ Net Zero แต่ไม่ใช่คำตอบเดียว

💚 อนาคตของ CCS และ CCUS ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและนโยบายที่ชัดเจนของแต่ละประเทศ 🚀♻️

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในภาคการดูแลสุขภาพ

🌍 JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืนในกลุ่มโรงพยาบาล ♻️

JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน

🔎 Joint Commission International standard ฉบับที่ 8 กับมาตรฐาน Global Health Impact (GHI)

  • JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน ใน JCI ฉบับที่ 8 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเพิ่มหัวข้อ Global Health Impact (GHI) ซึ่งเน้นไปที่ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในระบบสุขภาพ
  • 📢 มาตรฐาน GHI จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2026 โดยมีเป้าหมายช่วยให้ โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ทั่วโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวสู่ระบบสุขภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

🌿 ทำไมความยั่งยืนจึงสำคัญในภาคการดูแลสุขภาพ?

📌 อุตสาหกรรมสุขภาพปล่อยคาร์บอนสูงถึง 6% ของโลก

  • โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 6% ของการปล่อยทั้งหมด
  • เครื่องมือแพทย์, กระบวนการกำจัดขยะทางการแพทย์ และการใช้พลังงานในโรงพยาบาลส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม
  • ระบบสุขภาพต้องเผชิญกับ ภัยธรรมชาติ การแพร่ระบาด และภาวะโลกร้อน
  • 📌 การนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ ไม่เพียงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยพัฒนา
    • คุณภาพการรักษาพยาบาล
    • ความปลอดภัยของผู้ป่วย
    • ความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพ ในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม

🌍 5 หลักเกณฑ์สำคัญในมาตรฐาน GHI

1️⃣การกำกับดูแล การติดตาม และการรายงาน 📊

  • ✅ การบูรณาการ นโยบายความยั่งยืน เข้ากับการบริหารโรงพยาบาล
  • ✅ การติดตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม อย่างโปร่งใส

2️⃣ การมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการแพทย์ 👩‍⚕️👨‍⚕️

  • ✅ อบรมและให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ✅ ส่งเสริมให้บุคลากรมีบทบาท ในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาล

3️⃣ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ♻️

  • ✅ มีการตั้งเป้าหมายในการติดตามและตรวจสอบแผนการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำ และของเสีย อย่างมีประสิทธิภาพ

4️⃣ การจัดซื้อจัดจ้างและห่วงโซ่อุปทานสีเขียว 📦

  • ✅ คัดเลือกซัพพลายเออร์ที่มี แนวทางความยั่งยืน
  • ✅ ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5️⃣ โครงสร้างพื้นฐานและความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพ 🏥

  • ✅ ปรับปรุงโครงสร้างโรงพยาบาลให้ รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
  • ✅ ลดความเสี่ยงจาก ภัยธรรมชาติและภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ

📊 การพัฒนามาตรฐาน JCI GHI และระยะเวลาบังคับใช้

  • JCI ได้ร่วมมือกับ Geneva Sustainability Centre และ International Hospital Federation (IHF) ในการออกแบบมาตรฐาน GHI เพื่อให้โรงพยาบาลทั่วโลกสามารถปรับตัวสู่ ระบบสุขภาพคาร์บอนต่ำ
  • 📌 JCI หัวข้อ Global Health Impact (GHI) จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2026 ให้เวลากว่า 1 ปีสำหรับโรงพยาบาลในการเตรียมความพร้อม

ประโยชน์หลักของการปฏิบัติตามมาตรฐาน GHI

📢 1. เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย 🏥

  • ✅ ลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจกที่อาจส่งผลต่อ สุขภาพของผู้ป่วย
  • ✅ โรงพยาบาลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม = คุณภาพอากาศดีขึ้น

📢 2. สร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบสุขภาพ 🌱

  • ✅ เตรียมความพร้อมรับมือกับ ภัยธรรมชาติและวิกฤติสิ่งแวดล้อม
  • ✅ ระบบสาธารณสุขจะสามารถ ดำเนินงานต่อได้แม้เกิดภาวะฉุกเฉิน

📢 3. เสริมภาพลักษณ์องค์กรและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 📈

  • ✅ โรงพยาบาลที่ปฏิบัติตาม มาตรฐาน JCI ฉบับที่ 8 จะมี ความน่าเชื่อถือระดับสากล
  • ✅ ดึงดูดนักลงทุน ESG และผู้ป่วยที่ให้ความสำคัญกับ Net Zero Healthcare

💡สรุป: JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน

📌 การเพิ่ม Global Health Impact (GHI) ใน JCI ฉบับที่ 8 ถือเป็นก้าวสำคัญของ กลุ่มโรงพยาบาล
📌 โรงพยาบาลที่ปรับตัวได้ก่อน คือ ผู้นำในยุค Net Zero Healthcare 🚀
📌 ระบบสาธารณสุขต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษา แต่คือการสร้างโลกที่ดีขึ้น 💚


🔥 JCI ฉบับที่ 8 คือมาตรฐานแห่งอนาคตของโรงพยาบาลสีเขียว 🌱

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

พ.ร.บ. โลกร้อน

พ.ร.บ. โลกร้อน: จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย สู่ Net Zero ภายในปี 2065! ♻️

พ.ร.บ. โลกร้อน

 

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วย พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พ.ร.บ. โลกร้อน ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุน เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2065 🚀

📌 พ.ร.บ. โลกร้อน คืออะไร?

พ.ร.บ. นี้จะเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ โดยมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม พร้อมกลไกสนับสนุน ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) และ ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เพื่อกระตุ้นให้ประเทศไทยเข้าสู่ เศรษฐกิจสีเขียว อย่างแท้จริง 🌱


🔥 ประกอบไปด้วย 4 สาระสำคัญหลัก

  • 1️⃣ การกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรม
    • กำหนด มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 🏭
    • ภาคธุรกิจต้อง รายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO)
    • โรงงานที่ฝ่าฝืนอาจถูก ปรับหรือระงับการดำเนินกิจการ
  • 2️⃣ การส่งเสริมตลาดคาร์บอนและการซื้อขายเครดิตคาร์บอน
    • สนับสนุน Carbon Credit และ Carbon Offsetting
    • วางกลไก Carbon Pricing และ Carbon Tax เพื่อลดการปล่อยก๊าซ
    • องค์กรที่ลดการปล่อยคาร์บอนจะได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • 3️⃣ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 🌍
    • พัฒนา แผนป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
    • ส่งเสริม โครงสร้างพื้นฐานรองรับสภาพอากาศสุดขั้ว
  • 4️⃣ การกำกับดูแลและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
    • ตั้ง คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
    • บังคับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำ แผนบริหารจัดการคาร์บอนระดับจังหวัด

⚖️ บทลงโทษ

  • ธุรกิจที่ไม่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก → โดนปรับ 💸
  • โรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน → อาจถูกระงับใบอนุญาต 🏭🚫
  • บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนเกินมาตรฐาน → อาจต้องเสียภาษีคาร์บอนสูงขึ้น 📊

💡 ผลกระทบและโอกาสทางธุรกิจ

🏭 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น
✔️ พลังงาน ⚡
✔️ ปูนซีเมนต์ 🏗
✔️ อุตสาหกรรมเหล็ก-อลูมิเนียม 🏢
✔️ ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ 🌿

โอกาสสำหรับภาคธุรกิจ

  • องค์กรที่ ลดการปล่อยคาร์บอน จะสามารถขอการรับรอง Green Industry ได้
  • นักลงทุนและตลาดทุนให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) → โอกาสดึงดูดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 💰
  • ตลาดคาร์บอนเติบโต → เปิดโอกาสให้ธุรกิจลงทุนด้าน พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ

⚠️ ความท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือ

  • ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้นจาก ภาษีคาร์บอน
  • ภาคการผลิตที่ใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิล ต้องเปลี่ยนไปใช้ พลังงานสะอาด
  • ธุรกิจที่ไม่มีแผนปรับตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขัน

📊 สรุป

  • 📌 ธุรกิจต้องเตรียมปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
  • 📌 ตลาดคาร์บอนและพลังงานหมุนเวียนจะเติบโต
  • 📌 องค์กรที่ปรับตัวก่อน จะเป็นผู้นำในยุค Net Zero

📢 ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจสีเขียว! 🌍♻️
🔥 กฎหมายโลกร้อนจะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ Net Zero ภายในปี 2065! 🚀

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

CBAM คืออะไร และแนวทางการดำเนินการตามมาตรการ CBAM ในอุตสาหกรรมเหล็ก

CBAM คืออะไร และทำไมอุตสาหกรรมเหล็กต้องให้ความสำคัญ?

CBAM คืออะไร และจะส่งผลอะไรต่ออุตสาหกรรมเหล็ก

CBAM คืออะไร ? CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการปรับคาร์บอนตามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อป้องกันปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอน ซึ่งมาตรการ CBAM ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจะมีผลต่อสินค้านำเข้า 6 ประเภทคือ

    1. ซีเมนต์
    2. พลังงานไฟฟ้า
    3. ปุ๋ย
    4. ไฮโดรเจน
    5. เหล็กและเหล็กกล้า
    6. อะลูมิเนียม

ในขณะนี้มาตรการ CBAM ยังอยู่ในช่วง Transitional Phase จนถึงเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรปจะต้องรายงานค่าคาร์บอน หรือ Embedded Emission จากสินค้าที่นำเข้ามาในสหภาพยุโรป แต่ยังไม่ต้องชำระ ภาษีคาร์บอน หรือที่เรียกว่า CBAM Certificate เพื่อช่วยให้เตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการ CBAM ในขณะเดียวกันทางฝั่ง EU อาจจะมีการหารือเพื่อพิจารณาขยายกลุ่มสินค้าที่จะต้องอยู่ภายใต้มาตรการ CBAM เพิ่มเติม

โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 จนถึงปี พ.ศ. 2577 มาตรการ CBAM จะเข้าสู่ช่วง Post Transitional Phase ซึ่งจะบังคับให้ผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรปจะต้องรายงานค่า Embedded Emission และซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่นำเข้ามา โดยราคาของ CBAM Certificate จะอ้างอิงกับราคาประมูลของระบบ EU ETS ซึ่งในตอนนี้ราคาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 74.53 ยูโรหรือประมาณ 2,600 บาทไทย

อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

เนื่องจากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม เช่น Blast Furnace และ Basic Oxygen Furnace ปล่อยก๊าซ CO₂ ในปริมาณสูง

ดังนั้น โรงงานเหล็กที่ต้องการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการเก็บข้อมูล และรายงานค่า Embedded Emission ให้กับลูกค้าที่อยู่ในสหภาพยุโรป รวมถึงเริ่มวางแผนในการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกัน

เราพร้อมให้คำปรึกษาเรื่อง CBAM, การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) และองค์กร (CFO) รวมถึงแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้ธุรกิจของท่านสามารถปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา