CCS & CCUS

CCS & CCUS: เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน ทางรอดอุตสาหกรรมสู่ Net Zero

CCS & CCUS

 

📢 CCS และ CCUS: เทคโนโลยีแห่งอนาคตเพื่ออุตสาหกรรมสีเขียว

เมื่อการลดการปล่อยคาร์บอนกลายเป็นวาระระดับโลก อุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมหนักต้องปรับตัวเพื่อรองรับนโยบาย Net Zero หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ได้รับความสนใจคือ CCS (Carbon Capture and Storage) และ CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ซึ่งเป็นระบบดักจับคาร์บอนเพื่อนำไป กักเก็บถาวร หรือ นำมาใช้ประโยชน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


📌 CCS กับ CCUS ต่างกันอย่างไร?

CCS (Carbon Capture and Storage)

✅ ดักจับ CO₂ และนำไปกักเก็บในแหล่งใต้ดิน เช่น ชั้นหินหรือแหล่งก๊าซธรรมชาติที่หมดแล้ว
✅ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ปล่อย CO₂ จำนวนมาก เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน, อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และเหล็ก

📢 ข้อดีของ CCS ✅ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวได้จริง
✅ ช่วยให้อุตสาหกรรมฟอสซิลยังคงดำเนินการต่อได้ภายใต้กรอบ Net Zero

📢 ข้อจำกัดของ CCS ❌ ต้นทุนการลงทุนสูง
❌ ต้องการพื้นที่กักเก็บที่ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงของ CO₂ รั่วไหล

CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage)

✅ ดักจับ CO₂ และนำมาใช้ประโยชน์ก่อนกักเก็บ
✅ สามารถใช้ CO₂ ที่ดักจับได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น:

  • การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์
  • อุตสาหกรรมเคมีและวัสดุก่อสร้าง
  • Enhanced Oil Recovery (EOR) การเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดน้ำมัน

📢 ข้อดีของ CCUS ✅ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ CO₂ โดยไม่ปล่อยทิ้ง
✅ ลดภาระต้นทุนในการดำเนินงานของ CCS

📢 ข้อจำกัดของ CCUS ❌ มีข้อจำกัดในกระบวนการที่สามารถนำ CO₂ ไปใช้ใหม่
❌ อุตสาหกรรมบางประเภทอาจยังไม่สามารถใช้ CO₂ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


🌍 โครงการระดับโลกที่น่าจับตามอง

1️⃣ Northern Lights (นอร์เวย์) – โครงการ CCS แห่งแรกของยุโรป รองรับ CO₂ ได้มากถึง 1.5 ล้านตัน/ปี
2️⃣ Gorgon CCS (ออสเตรเลีย) – โครงการของ Chevron ที่กักเก็บ CO₂ ได้กว่า 4 ล้านตัน/ปี


🚀 อนาคตของ CCS และ CCUS: โอกาสหรือแค่ตัวช่วยชั่วคราว?

📢 แม้ว่า CCS และ CCUS จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการลด CO₂ แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ต้นทุนและประสิทธิภาพในระยะยาว

แนวโน้มในอนาคต

  • หลายประเทศเริ่มให้ เงินอุดหนุนสูง เช่น สหรัฐฯ สนับสนุนสูงสุด 85 ดอลลาร์ต่อตัน CO₂ ที่กักเก็บได้
  • ธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีลงทุนใน CCUS เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระภาษีคาร์บอน

⚠️ ประเด็นที่ยังเป็นข้อกังวล

  • หากไม่มีการกักเก็บที่ปลอดภัยพอ อาจเกิดปัญหา CO₂ รั่วไหล

🔎 สรุป: CCS & CCUS จำเป็นหรือไม่?

📌 CCS เป็นเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอนที่มีศักยภาพสูง → ลดปริมาณ CO₂ ได้จริง แต่ต้องการพื้นที่กักเก็บที่ปลอดภัย
📌 CCUS เป็นแนวทางที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ CO₂ → เหมาะกับอุตสาหกรรมที่สามารถนำคาร์บอนกลับมาใช้ใหม่
📌 ทั้งสองเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญสู่ Net Zero แต่ไม่ใช่คำตอบเดียว

💚 อนาคตของ CCS และ CCUS ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและนโยบายที่ชัดเจนของแต่ละประเทศ 🚀♻️

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในภาคการดูแลสุขภาพ

🌍 JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืนในกลุ่มโรงพยาบาล ♻️

JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน

🔎 Joint Commission International standard ฉบับที่ 8 กับมาตรฐาน Global Health Impact (GHI)

  • JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน ใน JCI ฉบับที่ 8 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเพิ่มหัวข้อ Global Health Impact (GHI) ซึ่งเน้นไปที่ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในระบบสุขภาพ
  • 📢 มาตรฐาน GHI จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2026 โดยมีเป้าหมายช่วยให้ โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ทั่วโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวสู่ระบบสุขภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

🌿 ทำไมความยั่งยืนจึงสำคัญในภาคการดูแลสุขภาพ?

📌 อุตสาหกรรมสุขภาพปล่อยคาร์บอนสูงถึง 6% ของโลก

  • โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 6% ของการปล่อยทั้งหมด
  • เครื่องมือแพทย์, กระบวนการกำจัดขยะทางการแพทย์ และการใช้พลังงานในโรงพยาบาลส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม
  • ระบบสุขภาพต้องเผชิญกับ ภัยธรรมชาติ การแพร่ระบาด และภาวะโลกร้อน
  • 📌 การนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ ไม่เพียงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยพัฒนา
    • คุณภาพการรักษาพยาบาล
    • ความปลอดภัยของผู้ป่วย
    • ความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพ ในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม

🌍 5 หลักเกณฑ์สำคัญในมาตรฐาน GHI

1️⃣การกำกับดูแล การติดตาม และการรายงาน 📊

  • ✅ การบูรณาการ นโยบายความยั่งยืน เข้ากับการบริหารโรงพยาบาล
  • ✅ การติดตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม อย่างโปร่งใส

2️⃣ การมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการแพทย์ 👩‍⚕️👨‍⚕️

  • ✅ อบรมและให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ✅ ส่งเสริมให้บุคลากรมีบทบาท ในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงพยาบาล

3️⃣ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ♻️

  • ✅ มีการตั้งเป้าหมายในการติดตามและตรวจสอบแผนการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำ และของเสีย อย่างมีประสิทธิภาพ

4️⃣ การจัดซื้อจัดจ้างและห่วงโซ่อุปทานสีเขียว 📦

  • ✅ คัดเลือกซัพพลายเออร์ที่มี แนวทางความยั่งยืน
  • ✅ ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5️⃣ โครงสร้างพื้นฐานและความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพ 🏥

  • ✅ ปรับปรุงโครงสร้างโรงพยาบาลให้ รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
  • ✅ ลดความเสี่ยงจาก ภัยธรรมชาติและภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ

📊 การพัฒนามาตรฐาน JCI GHI และระยะเวลาบังคับใช้

  • JCI ได้ร่วมมือกับ Geneva Sustainability Centre และ International Hospital Federation (IHF) ในการออกแบบมาตรฐาน GHI เพื่อให้โรงพยาบาลทั่วโลกสามารถปรับตัวสู่ ระบบสุขภาพคาร์บอนต่ำ
  • 📌 JCI หัวข้อ Global Health Impact (GHI) จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2026 ให้เวลากว่า 1 ปีสำหรับโรงพยาบาลในการเตรียมความพร้อม

ประโยชน์หลักของการปฏิบัติตามมาตรฐาน GHI

📢 1. เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย 🏥

  • ✅ ลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจกที่อาจส่งผลต่อ สุขภาพของผู้ป่วย
  • ✅ โรงพยาบาลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม = คุณภาพอากาศดีขึ้น

📢 2. สร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบสุขภาพ 🌱

  • ✅ เตรียมความพร้อมรับมือกับ ภัยธรรมชาติและวิกฤติสิ่งแวดล้อม
  • ✅ ระบบสาธารณสุขจะสามารถ ดำเนินงานต่อได้แม้เกิดภาวะฉุกเฉิน

📢 3. เสริมภาพลักษณ์องค์กรและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 📈

  • ✅ โรงพยาบาลที่ปฏิบัติตาม มาตรฐาน JCI ฉบับที่ 8 จะมี ความน่าเชื่อถือระดับสากล
  • ✅ ดึงดูดนักลงทุน ESG และผู้ป่วยที่ให้ความสำคัญกับ Net Zero Healthcare

💡สรุป: JCI เปิดตัวมาตรฐานความยั่งยืน

📌 การเพิ่ม Global Health Impact (GHI) ใน JCI ฉบับที่ 8 ถือเป็นก้าวสำคัญของ กลุ่มโรงพยาบาล
📌 โรงพยาบาลที่ปรับตัวได้ก่อน คือ ผู้นำในยุค Net Zero Healthcare 🚀
📌 ระบบสาธารณสุขต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษา แต่คือการสร้างโลกที่ดีขึ้น 💚


🔥 JCI ฉบับที่ 8 คือมาตรฐานแห่งอนาคตของโรงพยาบาลสีเขียว 🌱

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

พ.ร.บ. โลกร้อน

พ.ร.บ. โลกร้อน: จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย สู่ Net Zero ภายในปี 2065! ♻️

พ.ร.บ. โลกร้อน

 

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วย พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พ.ร.บ. โลกร้อน ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุน เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2065 🚀

📌 พ.ร.บ. โลกร้อน คืออะไร?

พ.ร.บ. นี้จะเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ โดยมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม พร้อมกลไกสนับสนุน ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) และ ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เพื่อกระตุ้นให้ประเทศไทยเข้าสู่ เศรษฐกิจสีเขียว อย่างแท้จริง 🌱


🔥 ประกอบไปด้วย 4 สาระสำคัญหลัก

  • 1️⃣ การกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรม
    • กำหนด มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 🏭
    • ภาคธุรกิจต้อง รายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO)
    • โรงงานที่ฝ่าฝืนอาจถูก ปรับหรือระงับการดำเนินกิจการ
  • 2️⃣ การส่งเสริมตลาดคาร์บอนและการซื้อขายเครดิตคาร์บอน
    • สนับสนุน Carbon Credit และ Carbon Offsetting
    • วางกลไก Carbon Pricing และ Carbon Tax เพื่อลดการปล่อยก๊าซ
    • องค์กรที่ลดการปล่อยคาร์บอนจะได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • 3️⃣ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 🌍
    • พัฒนา แผนป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
    • ส่งเสริม โครงสร้างพื้นฐานรองรับสภาพอากาศสุดขั้ว
  • 4️⃣ การกำกับดูแลและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
    • ตั้ง คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
    • บังคับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำ แผนบริหารจัดการคาร์บอนระดับจังหวัด

⚖️ บทลงโทษ

  • ธุรกิจที่ไม่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก → โดนปรับ 💸
  • โรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน → อาจถูกระงับใบอนุญาต 🏭🚫
  • บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนเกินมาตรฐาน → อาจต้องเสียภาษีคาร์บอนสูงขึ้น 📊

💡 ผลกระทบและโอกาสทางธุรกิจ

🏭 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น
✔️ พลังงาน ⚡
✔️ ปูนซีเมนต์ 🏗
✔️ อุตสาหกรรมเหล็ก-อลูมิเนียม 🏢
✔️ ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ 🌿

โอกาสสำหรับภาคธุรกิจ

  • องค์กรที่ ลดการปล่อยคาร์บอน จะสามารถขอการรับรอง Green Industry ได้
  • นักลงทุนและตลาดทุนให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) → โอกาสดึงดูดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 💰
  • ตลาดคาร์บอนเติบโต → เปิดโอกาสให้ธุรกิจลงทุนด้าน พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ

⚠️ ความท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือ

  • ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้นจาก ภาษีคาร์บอน
  • ภาคการผลิตที่ใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิล ต้องเปลี่ยนไปใช้ พลังงานสะอาด
  • ธุรกิจที่ไม่มีแผนปรับตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขัน

📊 สรุป

  • 📌 ธุรกิจต้องเตรียมปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
  • 📌 ตลาดคาร์บอนและพลังงานหมุนเวียนจะเติบโต
  • 📌 องค์กรที่ปรับตัวก่อน จะเป็นผู้นำในยุค Net Zero

📢 ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจสีเขียว! 🌍♻️
🔥 กฎหมายโลกร้อนจะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ Net Zero ภายในปี 2065! 🚀

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

Thailand Taxonomy คืออะไร?

Thailand Taxonomy คืออะไร?

Thailand Taxonomy

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค เศรษฐกิจสีเขียว อย่างเป็นระบบ! กับ Thailand Taxonomy ซึ่งเป็นกรอบการจัดประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)

มาตรฐานนี้จะช่วยกำหนดทิศทาง การลงทุนสีเขียว ลดความเสี่ยงจาก Greenwashing และผลักดันธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก 🌱✨


📌 Thailand Taxonomy: เครื่องมือพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน 🌿🌍

Thailand Taxonomy เปรียบเสมือน “คู่มือสีเขียว” ที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ การเงิน และภาครัฐ แยกแยะว่ากิจกรรมใดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริง และกิจกรรมไหนที่ต้องปรับเปลี่ยน โดยใช้ ระบบสัญญาณไฟจราจร เป็นเกณฑ์ในการจัดประเภท:

  • 🟢 สีเขียว (Green) → กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, รถยนต์ไฟฟ้า
  • 🟡 สีเหลือง (Amber) → กิจกรรมที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น พลังงานไฟฟ้าจากชีวมวล
  • 🔴 สีแดง (Red) → กิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องถูกปรับลดหรือยุติ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่มีแผนลดการปล่อยคาร์บอน

📌 Thailand Taxonomy คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?

  • ช่วยนักลงทุนและธนาคาร ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหน “สีเขียวจริง” และสมควรได้รับเงินทุนสนับสนุน
  • ลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะ CBAM ของยุโรป ที่จะเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้าที่ผลิตแบบไม่ยั่งยืน
  • ส่งเสริมธุรกิจไทยให้แข่งขันในเวทีโลก รองรับมาตรฐานสากล เช่น ASEAN Taxonomy, EU Green Deal

📌 อุตสาหกรรมบ้างที่ได้รับผลกระทบ

  • 📢 Phase 1 – ครอบคลุม 2 อุตสาหกรรมหลัก:
    1. ✅ภาคพลังงาน ⚡ → โรงไฟฟ้า, พลังงานหมุนเวียน, EV Charging
    2. ✅ภาคขนส่ง 🚚 → ระบบขนส่งมวลชน, โลจิสติกส์ที่ใช้พลังงานสะอาด
  • 📢 Phase 2 – จะครอบคลุมอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ได้แก่:
    1. ภาคเกษตร → การปลูกพืชที่ยั่งยืน ไม่ทำลายป่า
    2. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต → การลดคาร์บอนในกระบวนการผลิต
    3. ภาคอาคาร → การก่อสร้างอาคารสีเขียว
    4. ภาคจัดการของเสีย → การรีไซเคิล ขยะพลาสติก และเศรษฐกิจหมุนเวียน

📌 Thailand Taxonomy กับอนาคตของเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

  • 🌏 Thailand Taxonomy ไม่ใช่แค่ “อยากทำ” แต่ “ต้องทำ” เพราะทั่วโลกกำลังกำหนดมาตรฐานด้านคาร์บอนที่เข้มข้นขึ้น ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจเผชิญมาตรการกีดกันทางการค้าและภาษีคาร์บอน!
  • 💰 นักลงทุนกำลังหันไปสนับสนุน “ธุรกิจสีเขียว” เพราะภาคการเงินและภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance)
  • 🏭 ธุรกิจต้องเร่งเปลี่ยนผ่าน เพราะอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ปล่อยคาร์บอนสูง หากไม่เร่งลดคาร์บอน อาจเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ

📢 สรุปให้ชัด!

  • 📌 Thailand Taxonomy คือเข็มทิศเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน 🌱
  • 📌 ภาคการเงินจะใช้ Taxonomy เป็นจุดอ้างอิง ในการปล่อยสินเชื่อและลงทุนธุรกิจ
  • 📌 อุตสาหกรรมที่ปรับตัวเร็ว จะได้เปรียบในการแข่งขัน และเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น 🌍

ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลง และธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วคือผู้ชนะในอนาคต! 🚀♻️

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา