CFP คืออะไร? และทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?
CFP คืออะไร? และทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?
1.CFP (Carbon Footprint of Product) คืออะไร?
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) คือการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งานของผู้บริโภค จนถึงการกำจัดของเสียหลังใช้งาน การคำนวณ CFP จะใช้หน่วย คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดได้อย่างเป็นมาตรฐาน
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนดมาตรฐาน CFP ในประเทศไทย โดยอ้างอิงจากมาตรฐานสากล เช่น ISO 14067 ซึ่งเป็นแนวทางในการคำนวณและการทวนสอบข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
2. ประโยชน์ของการรับรอง CFP สำหรับธุรกิจ
2.1 เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการส่งออก
✅ หลายประเทศเริ่มกำหนดมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนเป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำเข้าสินค้า เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้สินค้าต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนเข้าสู่ตลาดยุโรป
✅ ธุรกิจที่มี CFP สามารถเข้าถึงตลาดสากลและดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance)
2.2 ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
✅ การวิเคราะห์ CFP ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่ากระบวนการใดมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด และสามารถปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
✅ ลดต้นทุนด้านพลังงาน วัตถุดิบ และการขนส่งโดยการปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนหรือวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2.3 สร้างภาพลักษณ์ที่ยั่งยืน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
✅ ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ การแสดงฉลาก CFP บนผลิตภัณฑ์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับแบรนด์
✅ ช่วยให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับสินค้าประเภทเดียวกัน
3. วิธีการคำนวณ CFP
3.1 ขอบเขตของการคำนวณ CFP (System Boundary)
- Cradle-to-Gate: คำนวณเฉพาะกระบวนการผลิตจนถึงการขนส่งไปยังลูกค้า
- Cradle-to-Grave: คำนวณตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการใช้งานและการกำจัดของเสีย
- Cradle-to-Cradle: คำนวณกระบวนการทั้งหมดรวมถึงการนำผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่
3.2 ขั้นตอนการคำนวณ CFP
1️⃣ เก็บข้อมูลปัจจัยการปล่อยก๊าซ (Data Collection)
- รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ วัตถุดิบ พลังงาน และการขนส่ง
- ใช้ข้อมูลจาก ฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เช่น TGO หรือ Ecoinvent
2️⃣ คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Calculation)
- ใช้สูตร CFP = ∑ (Activity Data × Emission Factor)
3️⃣ รวมค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
- นำค่าที่คำนวณได้มาคิดเป็นค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
4. ผลกระทบของ CFP ต่ออุตสาหกรรมไทย
📢 อุตสาหกรรมที่ควรให้ความสำคัญกับ CFP ได้แก่:
- 🏭 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต – เช่น การผลิตอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ และบรรจุภัณฑ์
- 🚚 ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ – เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก
- 🌾 ภาคเกษตรและอาหาร – ต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต
- 🏢 ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ – สามารถใช้วัสดุก่อสร้างที่มี CFP ต่ำเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง
5. สรุป: ทำไมธุรกิจต้องเร่งคำนวณและขอรับรอง CFP
📌 CFP เป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
📌 ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มโอกาสทางการตลาดโดยดึงดูดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
📌 ภาคธุรกิจที่ได้รับการรับรอง CFP สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารด้านความยั่งยืน (ESG) และตอบสนองต่อนโยบาย Net Zero ของประเทศไทย
💚 ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อน จะเป็นผู้นำในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ! รีบดำเนินการรับรอง CFP วันนี้ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและโลกของเรา! 🚀♻️
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!