Green Hotel Plus

Green Hotel Plus: แนวทางยกระดับโรงแรมไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้พัฒนาหลักเกณฑ์ “Green Hotel Plus” ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและผลักดันโรงแรมในประเทศไทยให้มีบทบาทในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน อ้างอิงจากแนวทาง “การท่องเที่ยวยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Criteria – GSTC)” และหลักเกณฑ์ “โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย”

Green Hotel Plus มุ่งเน้นการสร้างระบบบริหารจัดการภายในโรงแรมให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นธรรม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวมทั้งตอบสนองต่อความคาดหวังของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากยิ่งขึ้น

Green Hotel Plus

หมวดหมู่หลักใน Green Hotel Plus แบ่งออกเป็น 7 หมวด ดังนี้:

  1. นโยบายธรรมาภิบาลและการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
    เน้นการวางระบบจัดการที่ครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งมีการติดตาม ประเมินผล และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  2. การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างยั่งยืน
    ครอบคลุมด้านความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ ความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากร
  3. การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์กร
    สนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย
  4. การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นและการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    ส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชน และลดการพึ่งพาทรัพยากรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  5. การจัดการพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
    ครอบคลุมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดขยะ น้ำเสีย มลพิษ และการประเมินและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ
  6. การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและการจัดการมรดกทางวัฒนธรรม
    เน้นการสร้างประโยชน์ร่วมกับชุมชน เคารพวิถีชีวิตท้องถิ่น และส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
  7. การออกแบบอาคารและการจัดการภูมิทัศน์อย่างยั่งยืน
    ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม กฎหมาย และผังเมือง รวมถึงการใช้วัสดุและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเหมาะสม

ข้อได้เปรียบของการนำหลักเกณฑ์ Green Hotel Plus ไปใช้

  • ยกระดับภาพลักษณ์องค์กรให้ทันสมัยและมีความรับผิดชอบ
  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและพันธมิตรทางธุรกิจ
  • เพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดสากลที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ESG และ Sustainable Tourism
  • สนับสนุนการลดต้นทุนในระยะยาวผ่านการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

บริการของ Greenopia ในหัวข้อที่ 5 การจัดการพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

เพื่อสนับสนุนโรงแรมและสถานประกอบการที่ต้องการเข้าสู่มาตรฐาน Green Hotel Plus
เรามีบริการโซลูชันแบบครบวงจร ทั้งในด้าน

  1. การจัดการและอนุรักษ์พลังงาน
    • ระบบ Energy Monitoring and Management,
    • Solar Cells and Battery Energy Storage System (BESS)
    • EV Car and EV Charging Station
    • ระบบอาคารอัจฉริยะ เช่น Smart Boiler, Smart Lightning, Smart A/C
  2. การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint Assessment)

หากคุณคือโรงแรมที่มุ่งมั่นด้านความยั่งยืนหรือกำลังเตรียมเข้าสู่มาตรฐาน Green Hotel Plus
เรายินดีเป็นพาร์ตเนอร์ด้านเทคนิคและโซลูชัน เพื่อร่วมผลักดันธุรกิจไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนไปด้วยกัน

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

CFO คืออะไร? และทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญ?

CFO คืออะไร? และทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญ?

CFO คืออะไร?

 

1. คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) คืออะไร?

CFO คืออะไร? คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมขององค์กรทั้งหมดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยคำนวณออกมาในหน่วย คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) เพื่อติดตาม วิเคราะห์ และกำหนดแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนขององค์กร

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านมาตรฐาน CFO ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ISO 14064-1 และ GHG Protocol เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและสามารถเปรียบเทียบได้ในระดับสากล


2. ประเภทของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scopes of GHG Emissions)

การคำนวณ CFO แบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ขอบเขตหลัก ได้แก่:

Scope 1: การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น:

  • การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานหรือยานพาหนะขององค์กร
  • การรั่วไหลของสารทำความเย็น
  • การปล่อยก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสีย

Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions from Purchased Energy)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตพลังงานที่องค์กรซื้อมาใช้ เช่น:

  • ไฟฟ้าที่ใช้ภายในองค์กร
  • ไอน้ำ หรือพลังงานความร้อนที่ซื้อจากแหล่งภายนอก

Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions)

✅ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมภายนอกที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น:

  • การขนส่งสินค้าและการเดินทางของพนักงาน
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรโดยลูกค้า
  • การจัดการของเสีย
  • การให้เช่าพื้นที่ขององค์กร

3. วิธีการคำนวณ CFO 

3.1 กำหนดขอบเขตขององค์กร

  • Operational Control: คำนวณเฉพาะการปล่อยที่องค์กรมีอำนาจควบคุมโดยตรง
  • Equity Share: คำนวณการปล่อยก๊าซตามสัดส่วนการถือหุ้นขององค์กรในกิจการนั้น ๆ
  • Financial Control: คำนวณตามกิจกรรมที่องค์กรมีการควบคุมด้านงบประมาณและการลงทุน

3.2 กำหนดขอบเขตของการดำเนินงาน

  • Scope 1 & 2
  • Scope 1, 2 & 3

3.3 วิเคราะห์แหล่งปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก

  • แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น น้ำมันดีเซลในเครื่องตัดหญ้า ก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสีย

3.4 เก็บข้อมูลกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • แต่งตั้งผู้รับผิดชอบข้อมูล

3.5 คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละ Scope

  • ใช้สูตร CFO = ∑ (Activity Data × Emission Factor)

3.6 ทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

  • Excel File
  • Word File
  • Power point File

3.7 ทวนสอบกับหน่วยงานทวนสอบ  (Verifier)

  • ทวนสอบกับหน่วยงานภายนอกซึ่งขึ้นทะเบียนกับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) สามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานทวนสอบที่ขึ้นทะเบียนแล้วได้บนเว็บไซต์ของ TGO

4. ผลกระทบของ CFO ต่อองค์กรในประเทศไทย

📢 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่:

  • 🏭 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต – ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในทุก Scope เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงด้านกฎหมายในอนาคต
  • 🚚 ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ – ต้องใช้พลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • 🏢 ภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง – ควรใช้วัสดุที่มี CFP ต่ำ และปรับปรุงการใช้พลังงานในอาคารเพื่อสนับสนุน Green Building
  • 🌾 ภาคเกษตรและอาหาร – ต้องปรับวิธีการเพาะปลูกและการจัดการของเสียเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

5. สรุป: ทำไมองค์กรต้องเร่งคำนวณ CFO?

📌 CFO ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายการลดคาร์บอนและดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ

📌 การลดการปล่อยคาร์บอนสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ

📌 ธุรกิจที่มี CFO และแผนลดคาร์บอนจะสามารถแข่งขันในตลาดโลก และเตรียมรับมือกฎระเบียบด้านคาร์บอน

💚 องค์กรที่ดำเนินการคำนวณ CFO และมีมาตรการลดการปล่อยคาร์บอน จะเป็นผู้นำในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และมีความได้เปรียบทางธุรกิจในอนาคต! 🚀♻️

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

CFP คืออะไร? และทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?

CFP คืออะไร? และทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ?

CFP (Carbon Footprint of Product)

1.CFP (Carbon Footprint of Product) คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) คือการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งานของผู้บริโภค จนถึงการกำจัดของเสียหลังใช้งาน การคำนวณ CFP จะใช้หน่วย คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดได้อย่างเป็นมาตรฐาน

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนดมาตรฐาน CFP ในประเทศไทย โดยอ้างอิงจากมาตรฐานสากล เช่น ISO 14067 ซึ่งเป็นแนวทางในการคำนวณและการทวนสอบข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์


2. ประโยชน์ของการรับรอง CFP สำหรับธุรกิจ

2.1 เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการส่งออก

✅ หลายประเทศเริ่มกำหนดมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนเป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำเข้าสินค้า เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้สินค้าต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนเข้าสู่ตลาดยุโรป

✅ ธุรกิจที่มี CFP สามารถเข้าถึงตลาดสากลและดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance)

2.2 ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

✅ การวิเคราะห์ CFP ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่ากระบวนการใดมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด และสามารถปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

✅ ลดต้นทุนด้านพลังงาน วัตถุดิบ และการขนส่งโดยการปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนหรือวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2.3 สร้างภาพลักษณ์ที่ยั่งยืน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

✅ ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ การแสดงฉลาก CFP บนผลิตภัณฑ์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับแบรนด์

✅ ช่วยให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับสินค้าประเภทเดียวกัน


3. วิธีการคำนวณ CFP 

3.1 ขอบเขตของการคำนวณ CFP (System Boundary)

  • Cradle-to-Gate: คำนวณเฉพาะกระบวนการผลิตจนถึงการขนส่งไปยังลูกค้า
  • Cradle-to-Grave: คำนวณตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการใช้งานและการกำจัดของเสีย
  • Cradle-to-Cradle: คำนวณกระบวนการทั้งหมดรวมถึงการนำผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่

3.2 ขั้นตอนการคำนวณ CFP

1️⃣ เก็บข้อมูลปัจจัยการปล่อยก๊าซ (Data Collection)

  • รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ วัตถุดิบ พลังงาน และการขนส่ง
  • ใช้ข้อมูลจาก ฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เช่น TGO หรือ Ecoinvent

2️⃣ คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Calculation)

  • ใช้สูตร CFP = ∑ (Activity Data × Emission Factor)

3️⃣ รวมค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

  • นำค่าที่คำนวณได้มาคิดเป็นค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์

4. ผลกระทบของ CFP ต่ออุตสาหกรรมไทย

📢 อุตสาหกรรมที่ควรให้ความสำคัญกับ CFP ได้แก่:

  • 🏭 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต – เช่น การผลิตอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ และบรรจุภัณฑ์
  • 🚚 ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ – เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก
  • 🌾 ภาคเกษตรและอาหาร – ต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต
  • 🏢 ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ – สามารถใช้วัสดุก่อสร้างที่มี CFP ต่ำเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง

5. สรุป: ทำไมธุรกิจต้องเร่งคำนวณและขอรับรอง CFP

📌 CFP เป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

📌 ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มโอกาสทางการตลาดโดยดึงดูดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

📌 ภาคธุรกิจที่ได้รับการรับรอง CFP สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารด้านความยั่งยืน (ESG) และตอบสนองต่อนโยบาย Net Zero ของประเทศไทย

💚 ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อน จะเป็นผู้นำในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ! รีบดำเนินการรับรอง CFP วันนี้ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและโลกของเรา! 🚀♻️

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา

CBAM คืออะไร และแนวทางการดำเนินการตามมาตรการ CBAM ในอุตสาหกรรมเหล็ก

CBAM คืออะไร และทำไมอุตสาหกรรมเหล็กต้องให้ความสำคัญ?

CBAM คืออะไร และจะส่งผลอะไรต่ออุตสาหกรรมเหล็ก

CBAM คืออะไร ? CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการปรับคาร์บอนตามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อป้องกันปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอน ซึ่งมาตรการ CBAM ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจะมีผลต่อสินค้านำเข้า 6 ประเภทคือ

    1. ซีเมนต์
    2. พลังงานไฟฟ้า
    3. ปุ๋ย
    4. ไฮโดรเจน
    5. เหล็กและเหล็กกล้า
    6. อะลูมิเนียม

ในขณะนี้มาตรการ CBAM ยังอยู่ในช่วง Transitional Phase จนถึงเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรปจะต้องรายงานค่าคาร์บอน หรือ Embedded Emission จากสินค้าที่นำเข้ามาในสหภาพยุโรป แต่ยังไม่ต้องชำระ ภาษีคาร์บอน หรือที่เรียกว่า CBAM Certificate เพื่อช่วยให้เตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการ CBAM ในขณะเดียวกันทางฝั่ง EU อาจจะมีการหารือเพื่อพิจารณาขยายกลุ่มสินค้าที่จะต้องอยู่ภายใต้มาตรการ CBAM เพิ่มเติม

โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 จนถึงปี พ.ศ. 2577 มาตรการ CBAM จะเข้าสู่ช่วง Post Transitional Phase ซึ่งจะบังคับให้ผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรปจะต้องรายงานค่า Embedded Emission และซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่นำเข้ามา โดยราคาของ CBAM Certificate จะอ้างอิงกับราคาประมูลของระบบ EU ETS ซึ่งในตอนนี้ราคาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 74.53 ยูโรหรือประมาณ 2,600 บาทไทย

อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

เนื่องจากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม เช่น Blast Furnace และ Basic Oxygen Furnace ปล่อยก๊าซ CO₂ ในปริมาณสูง

ดังนั้น โรงงานเหล็กที่ต้องการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการเก็บข้อมูล และรายงานค่า Embedded Emission ให้กับลูกค้าที่อยู่ในสหภาพยุโรป รวมถึงเริ่มวางแผนในการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกัน

เราพร้อมให้คำปรึกษาเรื่อง CBAM, การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) และองค์กร (CFO) รวมถึงแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้ธุรกิจของท่านสามารถปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CBAM, วิธีการคำนวณ หรือการดำเนินการจัดทำ Carbon Footprint
📌 โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคำปรึกษาและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล

รับคำปรึกษา